Photo Credit : kapook
[๑๔๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลกเพียงใด พวกอัญญเดียรถีย์ย่อมเป็นผู้อันมหาชนสักการะเคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง และได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพียงนั้น แต่เมื่อใดพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกย่อมเป็นผู้อันมหาชนไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง และไม่ได้จีวรบิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ย่อมเป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชายำเกรง และได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรอานนท์ จริงอย่างนั้น ดูกรอานนท์ จริงอย่างนั้น ดูกรอานนท์ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลกเพียงใด พวกอัญญเดียรถีย์ย่อมเป็นผู้อันมหาชนสักการะเคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง และได้จีวร บิณฑบาตเสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แต่เมื่อใดพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกย่อมเป็นผู้อันมหาชนไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง และไม่ได้จีวรบิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
หิ่งห้อยนั้นส่องแสงสว่างอยู่ชั่วเวลาพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว หิ่งห้อยนั้นก็อับแสง และไม่สว่างได้เลย พวกเดียรถีย์สว่างเหมือนหิ่งห้อยนั้น ตราบเท่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลก แต่เมื่อใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น พวกเดียรถีย์และแม้สาวกของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น ย่อมไม่หมดจด พวกเดียรถีย์ผู้มีทิฐิชั่วย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ฯ
จบสูตรที่ ๑๐
จบชัจจันธวรรคที่ ๖
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๒๕
สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
0 comments:
Post a Comment