/> อำนาจแห่งการเจริญทำให้มากซึ่งอานาปานสติ | รัตนะ5 พุทธวจน

อำนาจแห่งการเจริญทำให้มากซึ่งอานาปานสติ

Photo Credit : kruyoga
อานาปานสติสมาธิ อันภิกษุเจริญ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ความไหวหรือความเอนเอียง แห่งกายก็ดี ความหวั่นไหวหรือความกวัดแกว่งแห่งจิตก็ดี ย่อมไม่มี


กัปปินสูตร 
ว่าด้วยอานาปานสติสมาธิ 

[๑๓๒๑] พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้น ท่านพระมหากัปปินะ นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกาย ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาค

[๑๓๒๒] พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นท่านมหากัปปินะนั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกาย ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า ครั้นแล้วได้ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย เห็นความไหวหรือความเอนเอียงแห่งกายของภิกษุนั้นหรือหนอ? 

[๑๓๒๓] ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวลาใดข้าพระองค์ทั้งหลาย เห็นท่านผู้มีอายุนั้นนั่งอยู่ในท่ามกลางสงฆ์ หรือนั่งในที่ลับรูปเดียว ในเวลานั้น ข้าพระองค์ทั้ง หลายมิได้เห็นความไหวหรือความเอนเอียงแห่งกายของท่านผู้มีอายุนั้นเลย

[๑๓๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความไหวหรือความเอนเอียงแห่งกายก็ดี ความ หวั่นไหวหรือความกวัดแกว่งแห่งจิตก็ดี ย่อมไม่มี เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่งสมาธิใด ภิกษุนั้นได้สมาธินั้นตามความปรารถนาได้ โดยไม่ยากไม่ลำบาก 

[๑๓๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย 

ก็ความไหวหรือความเอนเอียงแห่งกายก็ดี ความหวั่นไหวหรือความกวัดแกว่งแห่งจิตก็ดี ย่อมไม่มี เพราะได้เจริญ กระทำให้มากซึ่งสมาธิ เป็น ไฉน? เพราะได้เจริญ ได้กระทำให้มากซึ่ง อานาปานสติสมาธิ 

[๑๓๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ อานาปานสติสมาธิ อันภิกษุเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างไร ความไหวหรือความเอนเอียงแห่งกายก็ดี ความหวั่นไหวหรือความกวัดแกว่งแห่ง จิตก็ดี ย่อมไม่มี 

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ที่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า 
  • เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว 
  • เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว 
  • เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น 
  • เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียก ว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตสังขารหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตสังขารหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขารหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขารหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริงหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริงหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่นหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่นหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียก ว่า จักพิจารณาธรรมอันปราศจากราคะหายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมอันปราศจากราคะหายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียก ว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจเข้า
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ สละคืน หายใจออก 
  • ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่สละคืน หายใจเข้า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อ อานาปานสติสมาธิ อันภิกษุเจริญ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ความไหวหรือความเอนเอียง แห่งกายก็ดี ความหวั่นไหวหรือความกวัดแกว่งแห่งจิตก็ดี ย่อมไม่มี 

จบ สูตรที่ ๗

พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๙
สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค



Booking.com


Share on Google Plus

About Unknown

    Blogger Comment
    Facebook Comment

0 comments:

Post a Comment