ที่มาภาพ: Google
ครั้งหนึ่งที่เชตวัน ท่านพระกัจจานโคตต์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับแล้วทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ที่กล่าวๆกันว่า สัมมาทิฏฐิ-สัมมาทิฏฐิ ดังนี้ สัมมาทิฏฐิ ย่อมมีได้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ พระเจ้าข้า?"
ดูก่อนกัจจานะ! สัตว์โลกนี้อาศัยแล้วซึ่ง ส่วนสุดทั้งสอง โดยมากคือ ส่วนสุดว่า อัตถิตา (ความมี) และส่วนสุดว่า นัตถิตา (ความไม่มี)
ดูก่อนกัจจานะ! สัตว์โลกนี้โดยมาก ถูกผูกพันแล้วด้วยตัณหา ด้วยอุปาทาน ด้วยทิฏฐิ (อุปายุปาทานาภินิเวสวินิพนฺโธ) แต่อริยสาวกนี้ ไม่เข้าถึง ไม่ถือเอา ไม่ถึงทับ ซึ่งตัณหาและอุปาทาน อันเป็นเครื่องถึงทับแห่งใจ อันเป็นอนุสัยแห่งทิฏฐิ ว่า "อัตตาของเรา" ดังนี้ ย่อมไม่สงสัย ย่อมไม่ลังเล ในข้อที่ว่า
ญาณในข้อนี้ ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้น โดยไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น
ดูก่อนกัจจานะ! สัมมาทิฏฐิ ย่อมมีได้ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล
ดูก่อนกัจจานะ! ตถาคต ย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือตถาคตย่อม แสดงดังนี้ว่า
ชุดจากพระโอษฐ์ ๕ เล่ม เล่มที่ ๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
หน้าที่ ๖๖๕ - ๖๖๗
ครั้งหนึ่งที่เชตวัน ท่านพระกัจจานโคตต์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับแล้วทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ! ที่กล่าวๆกันว่า สัมมาทิฏฐิ-สัมมาทิฏฐิ ดังนี้ สัมมาทิฏฐิ ย่อมมีได้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ พระเจ้าข้า?"
ดูก่อนกัจจานะ! สัตว์โลกนี้อาศัยแล้วซึ่ง ส่วนสุดทั้งสอง โดยมากคือ ส่วนสุดว่า อัตถิตา (ความมี) และส่วนสุดว่า นัตถิตา (ความไม่มี)
ดูก่อนกัจจนะ! ส่วนสุดว่า นัตถิตา ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งธรรมอันเป็นเหตุให้เกิดขึ้นแห่งโลก.
ดูก่อนกัจจานะ! ส่วนสุดว่า อัตถิตา ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เห็นอยู่ด้วยปัญญาอันชอบตามที่เป็นจริง ซึ่งธรรมคือความดับไม่เหลือแห่งโลก.
ดูก่อนกัจจานะ! สัตว์โลกนี้โดยมาก ถูกผูกพันแล้วด้วยตัณหา ด้วยอุปาทาน ด้วยทิฏฐิ (อุปายุปาทานาภินิเวสวินิพนฺโธ) แต่อริยสาวกนี้ ไม่เข้าถึง ไม่ถือเอา ไม่ถึงทับ ซึ่งตัณหาและอุปาทาน อันเป็นเครื่องถึงทับแห่งใจ อันเป็นอนุสัยแห่งทิฏฐิ ว่า "อัตตาของเรา" ดังนี้ ย่อมไม่สงสัย ย่อมไม่ลังเล ในข้อที่ว่า
เมื่อจะเกิด ทุกข์เท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น เมื่อจะดับ ทุกข์เท่านั้น ย่อมดับ ดังนี้
ญาณในข้อนี้ ย่อมมีแก่อริยสาวกนั้น โดยไม่ต้องเชื่อตามผู้อื่น
ดูก่อนกัจจานะ! สัมมาทิฏฐิ ย่อมมีได้ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล
- ดูก่อนกัจจานะ! คำกล่าวที่ยืนยันลงไปด้วยทิฏฐิว่า "สิ่งทั้งปวง มีอยู่" ดังนี้ นี้ เป็นส่วนสุดที่หนึ่ง (ไม่ใช่ทางสายกลาง)
- คำกล่าวที่ยืนยันลงไปด้วยทิฏฐิว่า "สิ่งทั้งปวง ไม่มีอยู่" ดังนี้ เป็นส่วนสุดที่สอง (ไม่ใช่ทางสายกลาง)
ดูก่อนกัจจานะ! ตถาคต ย่อมแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปหาส่วนสุดทั้งสองนั้น คือตถาคตย่อม แสดงดังนี้ว่า
- เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย
- เพราะมีสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ
- เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป
- เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
- เพราะมีสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ
- เพราะมีผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
- เพราะมีเวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
- เพราะมีตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน
- เพราะมีอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ
- เพราะมีภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ
- เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
- เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว จึงมีความดับแห่งสังขาร
- เพราะความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ
- เพราะมีความดับ แห่งวิญญาณ จึงมีความดับ แห่งนามรูป
- เพราะมีความดับ แห่งนามรูป จึงมีความดับ แห่งสฬายตนะ
- เพราะมีความดับ แห่งสฬายตนะ จึงมีความดับ แห่งผัสสะ
- เพราะมีความดับ แห่งผัสสะ จึงมีความดับ แห่งเวทนา
- เพราะมีความดับ แห่งเวทนา จึงมีความดับ แห่งตัณหา
- เพราะมีความดับ แห่งตัณหา จึงมีความดับ แห่งอุปาทาน
- เพราะมีความดับ แห่งอุปาทาน จึงมีความดับ แห่งภพ
- เพราะมีความดับ แห่งภพ จึงมีความดับ แห่งชาติ
- เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแหละ ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้ แล
ชุดจากพระโอษฐ์ ๕ เล่ม เล่มที่ ๔
ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
หน้าที่ ๖๖๕ - ๖๖๗
0 comments:
Post a Comment